วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2550
เวอร์จิ้น (2001–2002) มารายห์ แครี (Mariah Carey) เกิดเมื่อวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 1970 ที่ เมืองฮันติงตัน รัฐนิวยอร์ก เธอเป็นนักร้องและนักประพันธ์เพลงป็อปชาวอเมริกันระดับแถวหน้า โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษที่ 90 แครีถือได้ว่าเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จที่สุดในทศวรรษดังกล่าว เนื่องจากตามรายงานของนิตยสารบิลบอร์ด และเวิร์ล มิวสิก อวอร์ดส แครีเป็นศิลปินที่มียอดขายมากที่สุดแห่งทศวรรษ
นอกจากงานทางด้านนักร้องแครียังเป็นนักประพันธ์เพลง โปรดิวเซอร์ดนตรี ผู้กำกับมิวสิกวิดีโอ และนักแสดง และนอกจากนั้น เธอยังมีส่วนช่วยเหลือองค์กรการกุศลหลาย ๆ องค์กร
ชีวิตในวัยเด็กและครอบครัว ปี 1970 ถึง 1990
แครีเริ่มอาชีพนักร้องเมื่อปี ค.ศ. 1990 ด้วยผลงานอัลบั้มชุดแรกที่มีชื่อชุดตรงกับชื่อของเธอเอง อัลบั้มนี้มีเพลงที่ติดอันดับ 1 ของตารางจัดอันดับเพลงในสหรัฐอเมริกาถึง 4 เพลง ได้แก่ เพลง Vision Of Love, Love Takes Time, Someday และ I Don't Wanna Cry) เพลงที่ร้องในการแสดงสดครั้งนี้ ได้รับการบันทึกลงในอัลบั้มอีพีของเธอที่ชื่อ "MTV Unplugged" โดยมีเพลงทั้งหมด 7 เพลงด้วยกัน
การประสบความสำเร็จในช่วงแรก ปี 1990 ถึง 1992
มารายห์ แครี แต่งงานกับ ทอมมี่ มอตโตล่า ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทโซนี่ในขณะนั้น ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1993 ที่แมนฮัตตัน สหรัฐอเมริกา
นอกจากผลงานของเธอแล้ว ในช่วงปีนี้ แครียังได้ไปร่วมประสานเสียงให้กับเพลง Everytime I close My Eyes ของเบบี้เฟส อีกด้วย
ความสำเร็จไปทั่วโลก ปี 1993 ถึง 1996
ในปี ค.ศ. 1997 มารายห์ แครี และทอมมี่ มอตโตล่า ก็ต้องแยกทางกัน หลังจากที่เธอต้องสร้างภาพสู่สาธารณชนว่าเธอมีความสุขในชีวิตคู่ ซึ่งแท้จริงแล้วแครีไม่มีความสุขเลย เธอถูกปฏิบัติเหมือนนกในกรงทอง เธอถูกเฝ้าดูทุกฝีเก้า ไม่มีความเป็นอิสระ จนสุดท้ายการหย่าร้างก็เกิดขึ้นในปีถัดมา
แครีได้ก้าวสู่ฐานะศิลปินแนวอาร์แอนด์บี โดย ได้ทำงานกับเจย์-ซี เพลง Things That U Do และ Got A Thing For You ของดา แบรท (Da Brat)
ความเป็นอิสระและภาพลักษณ์ใหม่ ปี 1997 ถึง 2000
หลังจากที่เธอได้รับรางวัลเวิร์ลด์ มิวสิก อวอร์ดส แครีได้สิ้นสุดสัญญากับโซนี่และได้เซ็นสัญญากับอีเอ็มไอด้วยเงิน 70 ล้านปอนด์ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2001 ในอเมริกาและบรรจุอยู่ในอัลบั้มรีมิกซ์ "The Remixes" ของเธอด้วย
อุปสรรคในเรื่องส่วนตัวและอาชีพ ปี 2001 ถึง 2003
ในปี 2004 แครีใช้เวลาส่วนใหญ่กับการทำอัลบั้ม "The Emancipation of Mimi" ในช่วงปลายปี 2004 เธอได้ร่วมงานกับจาดาคิส (Jadakiss) ในเพลง U Make Me Wanna ซึ่งสามารถเข้าถึง 10และจะได้รับตำแหน่งเดอะลองไอแลนด์มิวสิกฮอลล์ออฟเฟม
การกลับมาของเธอ ปี 2004 ถึงปัจจุบัน
แครีได้ก้าวเข้าสู่หนทางการเป็นนักแสดง โดยได้เริ่มเรียนการแสดงในปี 1997 ปีถัดมาเธอได้ออดิชั่นและได้แสดงเป็นตัวประกอบในหนังเรื่องเดอะ แบชเชอเรอร์ ผู้ชายหัวใจเวอร์จิ้น (1999) นำแสดงโดย คริส โอ'ดอนเนลล์ (Chris O'Donnell) และเรเน่ เซลเวเกอร์ โดยเธอแสดงเป็นนักร้องโอเปร่าสาว
เรื่องต่อมาแครีได้แสดงในหนังกึ่งอัตชีวประวัติของเธอกลิตเตอร์ (Glitter) (2001) โดยครั้งนี้เธอได้แสดงเป็นตัวนำ แสดงร่วมกับแม็กซ์ บีสลีย์ (Max Beesley) เรื่องนี้ล้มเหลวทั้งรายได้และคำวิจารณ์
บทบาททางการแสดง
เดอะ แบชเชอเรอร์ ผู้ชายหัวใจเวอร์จิ้น (The Bachelor) (1999)
กลิตเตอร์ (Glitter) (2001)
ไวซ์เกิร์ลส์ (WiseGirls) (2002)
เดธ ออฟ อะ ไดนาสตี (Death of a Dynasty) (2003)
สเตท พร็อพเพอร์ตี 2 (State Property 2) (2005)
เทนเนซซี (Tennessee) (2007) ผลงานการแสดง
แครีเคยพูดว่าเธอได้ถูกกระตุ้นจากนักร้องอาร์แอนด์บีและโซลจากศิลปินอย่าง บิลลี ฮอลิเดย์ ,ซาราห์ วอห์น ,แกลดีส์ ไนท์ (Gladys Knight) ,อารีธา แฟรงคลิน , อัล กรีน (Al Green) และ สตีวี่ วันเดอร์ เธอได้รับอิทธิพลจากดนตรีแนวกอสเปล และนักร้องแนวกอสเปลที่เธอชื่นชอบคือ เดอะ คลาร์ก ซิสเตอร์ส (The Clark Sisters) , เชอร์ลีย์ เซซาร์ (Shirley Caesar) และ เอดวิน ฮอกินส์ (Edwin Hawkins)
สไตล์เพลง และ ความสามารถ
มารายห์ แครีเป็นนักร้องโคโลราทูราโซปราโน (coloratura soprano คือนักร้องระดับเสียงสูงสุดของผู้หญิงที่สามารถใช้เสียงได้หลากหลายด้วยเทคนิคอันแพรวพราวและร้องเสียงเฮดโทนวอยซ์ได้) บางทีคำกล่าวนี้อาจจะเกิดจากการเข้าใจผิดเกี่ยวกับความสามารถในการใช้เสียงของเธอในการร้องเสียงสูงใน whistle register โดยเฉพาะโน้ตเพลงในออกเตฟที่เจ็ด
เสียงร้อง
แครีมักจะเขียนเพลงที่มีเนื้อเพลงเกี่ยวกับความรัก บางครั้งเธอก็ได้เขียนเนื้อเพลงที่เกี่ยวกับการเหยียดสีผิว ความตาย ความหิวโหย และเรื่องของความเชื่อจิตและวิญญาณ โดยภาคดนตรี ได้ใช้เครื่องดนตรีอีเลคโทรนิค เช่น ดรัม แมชชีน, คีย์บอร์ด และ เครื่องสังเคราะห์เสียง โดยหลายๆเพลงของเธอจะมีเปียโนประกอบอยู่ด้วย แครีเคยเรียนเปียโนตอนอายุ 6 ขวบ แต่เธอบอกว่าเธอไม่สามารถอ่านโน้ตได้แต่ชอบที่จะร่วมแต่งเพลงกับนักเปียโนเวลาแต่งเพลง และมันง่ายกว่าที่จะทดลองด้วยการรวมเมโลดี้และโครงสร้างคอร์ดด้วยวิธีนี้ การเรียบเรียงเพลงของแครีได้รับอิทธิพลจากสตีวี่ วันเดอร์ ที่เธอเคยยกยอว่าเป็นอัจฉริยะแห่งศตวรรษที่ 20
แครียังคงร่วมงานการทำเพลงรีมิกซ์กับโปรดิวเซอร์อย่าง เดวิด โมราเลส ,เจอร์เมน ดูปริ,จูเนียร์ วาสเควซ และ ดีเจ คลูย์
ธีมและสไตล์เพลง
แครีเธอได้เป็นคนใจบุญใจกุศล ได้ร่วมการบริจาคเงินนับล้านๆดอลล่าร์ให้กับองค์กรการกุศลอย่างเช่น เมค-อะ-วิช ฟาวเดชัน (Make-A-Wish Foundation) , เนชันนอลอะดอบชันเซ็นเตอร์ (National Adoption Center) , โครงการของวีเอชวันเซฟเดอะมิวสิก (Save The Music Foundation) ,เฟร็ชแอร์ฟันด์ (Fresh Air Fund)
กิจกรรมการกุศล และ กิจกรรมอื่นๆ
แครี มีออกผลงานอัลบั้มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 โดยมีผลงานทั้งหมด 14 อัลบั้ม โดยเป็นสตูดิโออัลบั้ม 10 อัลบั้ม อัลบั้มรวมเพลง 2 อัลบั้ม อัลบั้มรีมิกซ์ 1 อัลบั้ม อัลบั้มอีพี 1 อัลบั้ม โดยมี 5 อัลบั้มที่ขึ้นอันดับ 1 บนอันดับอัลบั้มในอเมริกา
ดูบทความหลักที่ ผลงานของมารายห์ แครี
ผลงานเพลง
Mariah Carey (1990) #1 US 11 สัปดาห์
Emotions (1991) #4 US
Music Box (1993) #1 US 8 สัปดาห์
Merry Christmas (1994) #3 US
Daydream (1995) #1 US 6 สัปดาห์
Butterfly (1997) #1 US 1 สัปดาห์
Rainbow (1999) #2 US
Glitter (2001) #7 US
Charmbracelet (2002) #3 US
The Emancipation of Mimi (2005) #1 US 2 สัปดาห์
สตูดิโออัลบั้ม
MTV Unplugged (1992) #3 US
# 1's (1998) #4 US
Greatest Hits (2001) #52 US
The Remixes (2003) #26 US
อัลบั้มอื่นๆ
1991: The First Vision
1992: MTV Unplugged +3
1994: Here Is Mariah Carey
1996: Fantasy: Mariah Carey at Madison Square Garden
1999: Around the World
1999: #1's ทริบิ้วต์อัลบั้ม
1993: Music Box Tour
1996: Daydream World Tour
1998: Butterfly World Tour
2000: Rainbow World Tour
2003–2004: Charmbracelet World Tour
2006: The Adventures of Mimi Tour
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น